.

.

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สาระน่ารู้... กิจการร่วมค้า - กิจการค้าร่วม


               การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการรับจ้างทำงานโครงการใหญ่ๆ หรือรับงานที่ต้องมีการประกวดราคา (ประมูลงาน) ผู้ประกอบการบางรายอาจไม่สามารถรับงานได้โดยลำพัง เพราะเงินทุนไม่พอหรือขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการรับงานนั้นๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจมีความจำเป็นต้องร่วมกับผู้อื่นในการรับงาน เพื่อยกระดับความสามารถในการดำเนินงานและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ และที่สำคัญการรวมตัวกันจะทำให้เป็นองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งได้
               การร่วมกันทางธุรกิจมีหลายลักษณะซึ่งอาจมีการนำเงินและเทคโนโลยีมาร่วมกันลงทุน โดยการกำหนดสัดส่วนหุ้นและการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกัน มีรูปแบบเหมือนการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ หรือบางลักษณะจะมีการร่วมกันรับงานเพียงอย่างเดียว โดยมีการแบ่งแยกสิทธิและหน้าที่รวมทั้งกำไรและขาดทุนอย่างชัดเจน การร่วมกันในทางการค้านั้นที่นิยมกันในปัจจุบันคือ กิจการร่วมค้า (Joint Venture) และกิจการค้าร่วม (Consortium)
              1.  กิจการร่วมค้า (Joint Venture) คือ การร่วมประกอบธุรกิจของบุคคลหรือกิจการตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีการร่วมลงทุนไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ทรัพย์สิน แรงงาน เทคโนโลยี ที่ดิน บุคลากร หรืออื่นๆ ภายใต้ข้อตกลงหรือสัญญาร่วมค้าเพื่อประกอบกิจการร่วมกัน และจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์รวมถึงเป้าหมายการดำเนินงานไว้อย่างชัดเจน ถ้าโครงการนั้นทำเสร็จสิ้นลงก็จะถือว่าการร่วมค้านั้น ยุติลงด้วย ในกรณีเกิดความเสียหายทางการค้าก็จะรับผิดชอบร่วมกันในนามกิจการร่วมค้า และเมื่อมีผลกำไรก็จะจัดสรรตามสัดส่วนของการลงทุน ทั้งนี้ในการร่วมกันจะต้องมีผู้ร่วมค้าฝ่ายหนึ่งเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทกับบริษัท หรือบริษัทกับกับบุคคลธรรมดา การร่วมกันดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่จะมีเพียงสถานะเหมือนห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรในนามกิจการร่วมค้ากับสรรพากรพื้นที่ ในการขอบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของกิจการร่วมค้า ทั้งสองฝ่ายจะต้องนำสัญญากิจการร่วมค้ามาเป็นหลักฐาน ถ้าฝ่ายใดเป็นบุคคลธรรมดาให้ใช้เพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ประโยชน์ของการร่วมกันทางการค้าในลักษณะกิจการร่วมค้า เพื่อจะช่วยคู่ค้าแต่ละฝ่ายลดและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งยังช่วยประหยัดภาษีจากส่วนกำไรเพราะกฎหมายกำหนดว่าเมื่อได้รับส่วนแบ่งกำไร ไม่ต้องนำมารวมกับรายได้ของบริษัทเดิม
                   กิจการร่วมค้า (Joint Venture) กรมสรรพากรได้วางบรรทัดฐานเพิ่มเติมไว้สำหรับการพิจารณาว่า “กิจการร่วมค้า จะต้องมีคุณสมบัติเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้
                    (1)   มีการร่วมทุนกัน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สิน แรงงาน หรือเทคโนโลยี หรือร่วมกันในผลกำไรหรือขาดทุนอันพึงจะได้ตามสัญญาที่ร่วมกันทำกับบุคคลภายนอก หรือ
                        (2)    ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยระบุในสัญญาว่าเป็น “กิจการร่วมค้า” หรือ
                    (3)   ได้ร่วมกันทำสัญญากับบุคคลภายนอกโดยสัญญานั้นกำหนดให้ต้องรับผิดชอบร่วมกันในงานที่ทำไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และต้องรับค่าตอบแทนตามสัญญาร่วมกัน โดยสัญญานั้นไม่ได้แบ่งมอบงานและค่าตอบแทนระหว่างกันไว้อย่างชัดเจน
                   กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ตามความหมายในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร คือ
                    (1)   กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร ระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลอื่น
                    (2)   กิจการร่วมค้ามีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
                    (3)   กิจการร่วมค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ ในความหมายตามประมวลรัษฎากร เปรียบเสมือนมีฐานะเป็น“นิติบุคคล”
                   (4)   กิจการร่วมค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ ในความหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012มีสถานะเปรียบเสมือน ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล

              2.  กิจการค้าร่วม (Consortium) คือ การประกอบธุรกิจที่มีลักษณะของการร่วมกันขององค์กรธุรกิจตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป เพื่อดำเนินกิจการหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์ คือเป็นการเข้าร่วมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามแผนธุรกิจ แต่ละฝ่ายจะใช้ความสามารถและความชำนาญในการทำงานในส่วนที่ตนรับผิดชอบให้สำเร็จตามโครงการ และมีการแบ่งแยกการทำงานไว้อย่างชัดเจน โดยต่างฝ่ายต่างออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินเฉพาะของบริษัทตน
               สัญญากิจการค้าร่วมเป็นเพียงการลงนามร่วมกันในการทำสัญญากับเจ้าของโครงการเท่านั้น เพราะแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบเฉพาะในส่วนของตนไม่มีการร่วมทุนหรือแบ่งปันผลกำไรหรือขาดทุนระหว่างกัน เมื่องานเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะยุติลงเหมือนกับกิจการร่วมค้า
              ประโยชน์ของกิจการค้าร่วม คือ ผู้ประกอบการจะสามารถคำนวณหรือประเมินความสามารถของตนในการรับงานในแต่ละส่วนได้ และจะรับผิดชอบเฉพาะส่วนงานของตนเองเท่านั้น ตัวอย่างของกิจการค้าร่วม เช่น บริษัท A และบริษัท B ร่วมกันทำสัญญากับหน่วยงานรัฐในการขายและพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้ชื่อ “กิจการร่วมค้า AB” หรือ “คอนเซอร์เดียม AB”  ซึ่งบริษัท A รับผิดชอบในการขายอุปกรณ์ ส่วนบริษัท B รับผิดชอบในการติดตั้งระบบ เมื่อปรากฏว่าเกิดความเสียหายจากการพัฒนาระบบจนไม่สามารถใช้งานได้อันมิใช่เกิดจากอุปกรณ์ ดังนั้นบริษัท B จึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
              Consortium จะมีลักษณะแตกต่างจาก Joint Venture กล่าวคือ สมาชิกชอง Consortium นั้นจะมีการแบ่งแยกงานและเงินที่สมาชิกแต่ละคนจะได้รับจากเจ้าของโครงการ จะมีการร่วมกันก็เพียงแต่มาลงนามในสัญญาฉบับเดียวกันที่ทำกับเจ้าของโครงการเท่านั้นเอง โดย Consortium นั้น ไม่ได้เป็นหน่วยภาษีแยกต่างหากจากผู้เป็นสมาชิกของ Consortium
              จึงกล่าวได้ว่า Consortium นั้น สมาชิกแต่ละคนจะได้รับเงินในส่วนของงานที่ตนทำ จะกำไรหรือขาดทุนก็เป็นเรื่องของตน ไม่มีการไปรวมกับกำไรหรือขาดทุนของสมาชิก Consortium รายอื่น และสมาชิก Consortium แต่ละรายก็จะเสียภาษีโดยยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีของตนแยกแต่ละรายได้

              จากความแตกต่างของการร่วมกันในทางการค้าของทั้งสองลักษณะ หากผู้ประกอบการจำเป็นต้องร่วมการค้ากับผู้อื่น คงจะต้องดูศักยภาพ ความชำนาญและความสามารถของกิจการตนเองเป็นหลักแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่เป็น “กิจการร่วมค้า” (JOINT VENTURE) ที่เข้าเสนอราคากับส่วนราชการตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 2475  ลงวันที่  16 มีนาคม 2543 ดังนี้
              1.  กรณีที่ “กิจการร่วมค้า” ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ โดยหลักการกิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา ส่วนคุณสมบัติด้านผลงานก่อสร้างกิจการร่วมค้าดังกล่าว สามารถนาผลงานก่อสร้างของผู้ที่เข้าร่วมค้ามาใช้แสดงเป็นผลงานก่อสร้างของกิจการร่วมค้าที่เข้าประกวดราคาได้
              2.  กรณีที่ “กิจการร่วมค้า” ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ โดยหลักการนิติบุคคลแต่ละนิติบุคคลที่เข้าร่วมค้าทุกราย จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา เว้นแต่ในกรณีที่กิจการร่วมค้าได้มีข้อตกลงระหว่างผู้เข้าร่วมค้าเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดให้ผู้ร่วมค้า รายใดรายหนึ่งเป็น “ผู้รับผิดชอบหลัก” ในการเข้าเสนอราคากับทางราชการ และแสดงหลักฐานดังกล่าวมาพร้อมซองประกวดราคา กิจการร่วมค้านั้น สามารถใช้ผลงานก่อสร้างของผู้ร่วมค้าหลักรายเดียวเป็นผลงานก่อสร้างของกิจการร่วมค้าที่ยื่นเสนอราคาได้
               ซึ่งปัจจุบันยังพบว่า มีหลายส่วนราชการยังเข้าใจคลาดเคลื่อนในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่เป็นกิจการร่วมค้า จึงขอนำเสนอแนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ตามหนังสือเวียน และหนังสือตอบข้อหารือ ดังต่อไปนี้

ก. หนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค (กวพ) 0408.4/25167 ลงวันที่ 9 กันยายน 2548
           1. ข้อเท็จจริง
                1) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ดำเนินการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์  50  ปี
                2) ในประกาศกำหนดให้มีการขายเอกสารประกวดราคาระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 – 8 มีนาคม 2548 และกำหนดให้ยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 21 มีนาคม 2548
                3) กิจการร่วมค้าเพาเวอร์-นพวงศ์ ได้ซื้อเอกสารประกวดราคาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2548 แต่กิจการร่วมค้าดังกล่าวได้ทำสัญญาร่วมค้าขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นการกระทำขึ้นหลังจากวันที่ซื้อเอกสารประกวดราคา
                4) คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ได้พิจารณาให้กิจการร่วมค้าเพาเวอร์-นพวงศ์ เป็นผู้ชนะการประกวดราคา

           2. ข้อหารือ
              การที่กิจการร่วมค้าเพาเวอร์-นพวงศ์ ได้ซื้อเอกสารประกวดราคาก่อนที่จะมีการทำสัญญากิจการร่วมค้านั้น จะมีผลทำให้ขาดคุณสมบัติในการเข้าเสนอราคาตามเอกสารประกวดราคาดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

 3. ความเห็นของ อกพ.
                การที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำหนดเงื่อนไขการประกวดราคาในข้อ 6.3 (1) ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามตัวอย่างเอกสารประกวดราคาที่ กวพ.กำหนด ซึ่งหมายความว่ามหาวิทยาลัยฯ สงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาราคาของผู้ยื่นเสนอราคาโดยไม่มีข้อผ่อนผันถ้าผู้เสนอราคาไม่เป็นผู้มีรายชื่อปรากฎในบัญชีผู้รับเอกสาร (ซื้อเอกสาร) หรือในหลักฐานการรับเอกสารประกวดราคาของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้ผู้รับเอกสารกับผู้ยื่นเสนอเอกสารเป็นบุคคลเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อการตรวจสอบและควบคุมจำนวนผู้รับเอกสารรวมถึงเพื่อประโยชน์ในการขายหรือจำหน่ายเอกสารดังกล่าวด้วย ดังนั้นหากซื้อเอกสารหรือรับเอกสารหลายรายมีความประสงค์จะร่วมค้ากันโดยรวมกลุ่มทำสัญญาร่วมค้ากัน และมายื่นเสนอราคาในนามของกิจการร่วมค้าตามสัญญาร่วมค้า ย่อมถือว่ากิจการร่วมค้านั้นมีผู้ร่วมค้าที่มีรายชื่อเป็นผู้รับเอกสารทุกรายซึ่งถูกต้องตรงตามเงื่อนไขของทางราชการแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าการร่วมค้าดังกล่าวจะเป็นการร่วมค้ากันก่อนหรือหลังการซื้อหรือรับเอกสารจากส่วนราชการ กรณีตามข้อหารือ เมื่อปรากฏว่ากิจการร่วมค้า เพาเวอร์-นพวงศ์ มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อผู้ซื้อเอกสารหรือรับเอกสารกับทางมหาวิทยาลัยฯ จึงถือว่ากิจการร่วมค้าเพาเวอร์-นพวงศ์ ปฏิบัติถูกต้องตามเอกสารประกวดราคา ข้อ 6.3ตามหลักเกณฑ์และสิทธิในการพิจารณาราคาที่มหาวิทยาลัยฯ กำหนดแล้ว

ก. หนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค (กวพ) 0408.4/14444 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2548)
           1. ข้อเท็จจริง
                กรมศิลปากรได้ประกาศประกวดราคาจ้างปรับปรุงอาคารหอเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ตึกถาวรวัตถุ) โดยกำหนดยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2546 และพิจารณาผลการประกวดราคาในวันที่ 7 พฤษภาคม 2546 คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ได้ตรวจสอบเอกสารส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ของผู้ยื่นซองประกวดราคาทั้งหมดแล้ว
                บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด ได้ยื่นเสนอราคา โดยใช้ผลงานในนามกิจการร่วมค้าเซ็กโก้-ไร้ท์แมน ซึ่งทางสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ออกหนังสือรับรองให้ตามหนังสือ ที่ กษ 0201.7/189 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2545 โดยแยกรายละเอียดในหนังสือรับรองผลงานเป็น บริษัท เซ็กโก้ จำกัด เป็นรับจ้างเหมางานระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ เป็นเงินจำนวน 13,129.900 บาท และบริษัท ไรท์แมน จำกัด เป็นผู้รับจ้างเหมาก่อสร้างตกแต่งภายในระบบเสียงและภาพ จัดทำและออกแบบนิทรรศการเป็นเงินจำนวน 118,169,100 บาท

           2. ข้อหารือ
                กรณีที่ บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด ซื้อรูปแบบรายการและยื่นซองประกวดราคาในนามบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด แต่เอกสารประกอบในการยื่นซองในส่วนของหนังสือรับรองผลงานได้เสนอในนามกิจการร่วมค้าเซ็กโก้-ไร้ท์แมน นั้น ถูกต้องหรือไม่
                กรณีบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด ได้เป็นคู่สัญญากับกรมศิลปากรในนามกิจการร่วมค้าเพ็ญคอน-ไร้ท์แมน เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์ศึกษาศึกษาวิจัยศิลปกรรม วัฒนธรรม และประเพณีแห่งอันดามัน จังหวัดพังงา และไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาจนเป็นเหตุให้มีการบอกเลิกสัญญา และพิจารณาให้เป็นผู้ทิ้งงาน นั้น หากกรมศิลปกรจะนำสาเหตุดังกล่าวมาพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 50 (2) ได้หรือไม่

           3. ความเห็นของ อกพ.
                อกพ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อกรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกหนังสือรับรองผลงานชัดเจนว่าบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด มีผลงานตกแต่งภายในในวงเงิน 118,169,100 บาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการประกวดราคาแล้ว ดังนั้น ผลงานของบริษัทฯ ซึ่งเป็นในนามของกิจการร่วมค้า จึงย่อมใช้เป็นผลงานตามเงื่อนไขของเอกสารประกวดราคาตามที่กรมฯ กำหนดได้
                สำหรับในการพิจารณารับราคาของบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด นั้น โดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 50 (2) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ส่วนราชการพิจารณาคัดเลือกคุณภาพคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์กับทางราชการได้ เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงตามที่กรมศิลปากรแจ้งให้ทราบว่า บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด ได้เป็นคู่สัญญากับกรมฯ ในนามของกิจการร่วมค้าเพ็ญคอน-ไร้ท์แมน แต่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จจนกรมฯ ได้บอกเลิกสัญญาไป กรณีจึงเป็นดุลพินิจของกรมฯ ที่จะพิจารณาตัดสิทธิบริษัทฯ ตามนัยระเบียบฯ ข้อ 50 (2) ได้ ทั้งนี้ ในการพิจารณากรมฯ สมควรที่จะได้นำพฤติการณ์ของบริษัทฯ ที่เคยเป็นคู่สัญญากับกรมฯ ในนามของกิจการร่วมค้าเพ็ญคอน-ไร้ท์แมน ตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆ ภายหลังการบอกเลิกสัญญามาประกอบการพิจารณา

ข. หนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค0408.4/28976 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2548
           1. ข้อเท็จจริง
                กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ประกาศประกวดราคาจ้างเหมาขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำกันตัง จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยแนบผลงานการขุดลอกร่องน้ำของบริษัท อาภาภัทร ไพโอเนียร์ จำกัด ผู้ร่วมค้าเพียงรายเดียวมาเสนอ
                กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ แต่ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากร ภพ. 10 และไม่มีข้อตกลงระหว่างผู้ร่วมค้าด้วยกันเป็นลายลักษณ์อักษร ที่จะกำหนดให้ผู้ร่วมค้ารายใดรายหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเข้าเสนอราคากับทางราชการ และแสดงหลักฐานดังกล่าวมาพร้อมซองประกวดราคาเอกสารที่กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. ยื่นมามีหนังสือที่คู่สัญญาตกลงกันทำสัญญาเข้าร่วมลงทุน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท อาภาภัทร ไพโอเนียร์ จำกัด ลงทุน 33.3% มีข้อตกลงให้บริษัทฯ มีหน้าที่บริหารโครงการร่วมกับคู่สัญญาและอนุญาตให้นำอุปกรณ์ของบริษัทฯ ไปทำงานได้ตามความเหมาะสม บริษัท เวียเทคไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ลงทุน 33% มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และจัดหาอุปกรณ์ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนดำเนินงาน และบริษัท ซี เอ็ม พี เซ็นเตอร์ ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด ลงทุน  33.4%มีหน้าที่บริหารโครงการร่วมกับคู่สัญญาและอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์ในงานที่ประมูลได้เท่านั้น
                คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่า กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. ขาดคุณสมบัติของผู้เสนอราคาตามประกาศประกวดราคาข้อ (2) ซึ่งกำหนดว่า ผู้มีสิทธิเสนอราคาจะต้องมีผลงานขุดลอกร่องน้ำทางเรือเดินในทะเลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเดินเรือ โดยมีผลงานมีมูลค่าต่อชิ้นงาน สัญญาละไม่น้อยกว่าสิบห้าล้านบาท  และเป็นผลงานที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือเอกชนที่กรมเชื่อถือ โดยแนบสำเนาหนังสือรับรองผลงานและสำเนาหนังสือสัญญาว่าจ้างมาด้วย

           2. ข้อหารือ
                กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจึงขอหารือ เอกสารหลักฐานที่กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. เสนอมามีคุณสมบัติถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติของ กวพ. ตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ)1305/ว 2475 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2543 ข้อ 2 หรือไม่ และการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาผลฯ ถูกต้องหรือไม่

            3. ความเห็นของ อกพ.
                กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. ซึ่งเป็นผู้เสนอราคารายนี้ได้แนบหนังสือสัญญากิจการร่วมค้าที่คู่สัญญา คือบริษัท อาภาภัทร ไฟโอเนียร์ จำกัด บริษัท เวียเทคไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และ บริษัท ซี เอ็ม พี เซ็นเตอร์ ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด ตกลงเข้าหุ้นทำธุรกิจร่วมกันในลักษณะกิจการร่วมค้ามาแสดง โดยในสัญญาดังกล่าว ข้อ 1 มีเนื้อหาระบุถึงวัตถุประสงค์หน้าที่ และความรับผิดชอบของกิจการร่วมค้า แต่มิได้มีข้อตกลงให้ บริษัท อาภาภัทร ไพโอเนียร์ จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเข้าเสนอราคา ดังนั้น จึงไม่อาจใช้ผลงานของบริษัท อาภาภัทร ไพโอเนียร์ จำกัด แต่เพียงรายเดียวมาเป็นผลงานของกิจการร่วมค้าที่ยื่นเสนอราคาได้ เนื่องจากมิใช่ผู้ร่วมค้าหลัก และเนื่องจากตามนัยหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร(กวพ) 1305/ว 2457 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2543 กำหนดให้ ผู้เข้าร่วมค้าในกิจการร่วมค้าทุกราย จะต้องมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขในประกาศประกวดราคาด้วย ดังนั้น เมื่อผู้ร่วมค้าอีก 2 ราย คือ บริษัท เวียเทคไทย เอ็นจินเนียริ่ง จำกัด และบริษัท ซี เอ็ม พี เซ็นเตอร์ ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด ไม่มีผลงานมาแสดง จึงต้องถือว่า กิจการร่วมค้า เอ.วี.ซี. มีผลงานไม่ถูกต้องครบถ้วน และผิดเงื่อนไขประกาศประกวดราคาข้อ (2) ดังนั้น การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาจึงชอบแล้ว

ค.  หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) 0408.4/33895 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2550
           1. ข้อเท็จจริง
                1) สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) แจ้งว่า สอศ.ได้รับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2548 เป็นค่าครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ จำนวน 2,733 เครื่อง เป็นเงิน 58,721,000 บาท และครุภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ จำนวน 435 เครื่อง เป็นเงิน 17,739,700 บาท
                2) ในการประกวดราคาได้มีผู้เสนอราคาในนามของกิจการร่วมค้า และมีกรณีที่ผู้ชนะการประกวดราคาได้ยื่นเสนอราคาในฐานะเป็นกิจการร่วมค้า โดยแสดงหลักฐานสัญญาร่วมค้า ซึ่งระบุข้อตกลงยินยอมให้ใช้เอกสารและคุณสมบัติของอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยตกลงยินยอมให้นิติบุคคลหนึ่งเป็นผู้เสนอราคาหลัก ซึ่งสถานศึกษาได้พิจารณาว่าเป็นการเสนอราคาในฐานะกิจการร่วมค้าที่ถูกต้อง

           2. ข้อหารือ
                สอศ. จึงขอหารือว่าการพิจารณาดังกล่าวเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535และที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่

           3. ความเห็นของ อกพ.
                การพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่เป็นกิจการร่วมค้า ส่วนราชการจะต้องถือปฏิบัติตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ ว 2457 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2543 ซึ่งกำหนดให้ในกรณีที่กิจการร่วมค้าที่เข้าเสนอราคาไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ นิติบุคคลแต่ละรายที่ร่วมค้า จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา เว้นแต่ในกรณีที่จะกิจการร่วมค้าได้มีข้อตกลงระหว่างผู้เข้าร่วมค้าเป็นลายลักษณ์อักษร กำหนดให้ผู้เข้าร่วมค้ารายใดรายหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเข้าเสนอราคา และได้แสดงหลักฐานมาพร้อมซองประกวดราคา กิจการร่วมค้านั้น จึงจะสามารถใช้ผลงานของผู้ร่วมค้าหลักรายเดียว เป็นผลงานของกิจการร่วมค้านั้นได้
                กรณีตามข้อหารือ เมื่อผู้เสนอราคาได้ยื่นเสนอราคาในนามของกิจการร่วมค้า โดยมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลขึ้นใหม่ และได้ทำสัญญาร่วมค้าไว้ระหว่างกัน โดยปรากฏตามเอกสารสัญญาร่วมค้าที่ สอศ.ส่งมาประกอบการพิจารณาว่า ในสัญญาร่วมค้าดังกล่าวได้ระบุให้บริษัท เวลบิลท์ จำกัด เป็นผู้ค้าหลัก และบริษัท เบลต้า คอมพิวเตอร์ จำกัด เป็นผู้ค้าร่วม ดังนั้น ในการเข้าเสนอราคาทั้งบริษัท เวลบิลท์ฯ และบริษัท เบลต้า คอมพิวเตอร์ จำกัด เป็นผู้ค้าร่วม ดังนั้น ในการเข้าเสนอราคาทั้งบริษัทเวลบิลท์ฯ และบริษัทเบลต้าฯ จะต้องมีคุณสมบัติทั่วไปครบถ้วน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารประกวดราคา และเฉพาะแต่ในส่วนผลงานของผู้เสนอราคาเท่านั้น ที่กิจการร่วมค้าจะสามารถอ้างอิงนำผลงานของ บริษัท เวลบิลท์ ผู้ค้าหลัก แต่เพียงฝ่ายเดียวมาใช้เป็นผลงานของกิจการร่วมค้าได้ และการที่คู่สัญญาร่วมค้าได้ตกลงร่วมกันในวัตถุประสงค์ข้อ 3) ตามสัญญาร่วมค้าว่า “คุณสมบัติและเอกสารประกอบในการยื่นซองประมูลซื้อด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ครั้งนี้ให้ใช้ของ “BELTA” ได้ในกรณีที่ “เวลบิลท์” ไม่มีนั้น ข้อตกลงระหว่างผู้ค้าร่วมดังกล่าว ย่อมไม่สามารถนำมาอ้างอิงต่อทางราชการได้ และการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่เป็นกิจการร่วมค้า ยังคงต้องเป็นไป ตามนัยหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 2457 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2543 ดังกล่าว

ง. หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) 0408.4/31895 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2550
           1. ข้อเท็จจริง
                กรมการขนส่งทางอากาศแจ้งว่า กรมฯ ได้ประกาศประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างต่อเติมความยาวทางวิ่ง ลานกลับลำ ลานจอดเครื่องบิน และระบบไฟฟ้า สนามบิน ที่ท่าอากาศยานนราธิวาส ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์

           2. ข้อหารือ
                การพิจารณากรณีกิจการร่วมค้านั้น ความหมายของคำว่า “นิติบุคคลใหม่” หมายถึงต้องทำการจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์อย่างถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ และกิจการร่วมค้าที่ทำการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่นั้น สามารถนำผลงานของผู้เข้าร่วมค้าแต่ละรายมารวมกันเสนอราคาได้หรือไม่อย่างไร



           3. ความเห็นของ อกพ.
                คำว่า กิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ ตามหนังสือแจ้งเวียนของ กวพ. แจ้งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 2457 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2543 นั้น หมายความว่า กิจการร่วมค้าซึ่งประสงค์จะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่อกระทรวงพาณิชย์หรือต่อหน่วยงานของรัฐซึ่งมีหน้าที่รับจดทะเบียน ส่วนกรณีผลงานก่อสร้างนั้น กิจการร่วมค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่สามารถนำผลงานก่อสร้างของผู้ที่เข้าร่วมค้ารายใดรายหนึ่งหรือหลายรายมาใช้แสดงเป็นผลงานก่อสร้างของกิจการร่วมค้าที่เข้าประกวดราคาได้

(อาจตัดข้อความนี้ออก)
                ซึ่งกรณีนี้ ผู้เขียนขออธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีกิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่นั้น สามารถใช้ผลงานของผู้ค้ารายใดรายหนึ่งหรือหลายรายนั้น เช่น บริษัท A และบริษัท B ได้เข้าร่วมค้ากันและได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ หากในการประกวดราคาส่วนราชการกำหนดผลงาน 100 ล้านบาท หากบริษัท A หรือ บริษัท B บริษัทใดบริษัทหนึ่งมีผลงานครบถ้วน 100 ล้านบาทตามประกาศ ก็สามารถเข้าเสนอราคาโดยยื่นผลงานของบริษัท A หรือบริษัท B ซึ่งมีผลงานครบถ้วน หรือจะยื่นผลงานของทั้ง 2 บริษัทก็ได้ แต่ทั้งนี้ หากบริษัท A มีผลงาน 50 ล้านบาท และบริษัท B มีผลงาน 50 ล้านบาท จะนำผลงานของทั้งสองบริษัทฯ มารวมกันเพื่อให้ครบ 100 ล้านบาท ตามประกาศประกวดราคา กรณีนี้ถือว่า กิจการร่วมค้าดังกล่าวมีผลงานไม่ครบถ้วนตามประกาศประกวดราคา เพราะไม่สามารถนำผลงานมารวมกันได้ เนื่องจากการที่จะทราบว่าผู้เสนอราคามีผลงานถึงขีดความสามารถได้ ก็ย่อมจะต้องเป็นการบริหารงานภายใต้การจ้างครั้งเดียว มิใช่การจ้างหลายๆ ครั้งมารวมกัน ดังนั้น การยื่นผลงานของผู้รับจ้าง ตามเงื่อนไขประกวดราคาจ้างจึงต้องเป็นผลงานของผู้รับจ้างในสัญญาเดียวเท่านั้น (ตามหนังสือสำนักนายรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1204/ว 11441 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539)

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโปรโมชั่น



พิเศษ !!!  สำหรับลูกค้าจดทะเบียนใหม่และทำบัญชี
  • ฟรี เว็บไซต์ สำหรับบริษัทพร้อมแนะนำการทำตลาดออนไลน์
  • ฟรี ออกแบบโลโก้บรษัท
  • ฟรี รูปแบบใบส่งสินค้า ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงินและเอกสารสำคัญอื่นๆ
  • ฟรี ขึ้นทะเบียน ระบบ E-FILING เพื่อใช้นำส่งงบการเงินกับกระทรวงพาณิชย์
  • ฟรี จดทะเบียน ภ.อ.01 เพื่อใช้ยื่นภาษีผ่าระบบออนไลน์
  • ฟรี จัดเตรียมเอกสารขึ้นทะเบียน E-GP (ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ)
  • ฟรี ที่ปรึกษาด้านการตลาดและบริหารธุรกิจ
ความคิดริเริ่มประกอบธุรกิจส่วนตัวเพื่อเตรียมจดทะเบียนบริษัท
"สำหรับใครหลายๆคนที่กำลัง มีความคิดที่จะประกอบธุรกิจส่วนตัว ด้วยเนื่องอาจมีเหตุผล
เช่น มีเพื่อนเป็นจัดซื้อมีคนรู้จักที่จะคอยหยิบยื่นงาน ออกมาให้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีโดยที่เรา
ไม่ได้นับการเริ่มต้นทำธุรกิจ จาก 0 อาจจะเริ่มนับ ที่ 2,3,4,5 เลย แต่อย่าลืมว่าเราเองก็ต้อง
รู้จักการหาลูกค้าได้ด้วยตัวเอง เพราะสักวัน เราอาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนหรือคนรู้
จักแต่เราจะต้องยืนได้ด้วยความสามารถของเรานะครับ การที่จะมีบริษัท การจดทะเบียนบริษัท
นั้นไม่ใช้เรื่องยาก...อ่านต่อ"
บริการงานด้านจดทะเบียน
  • รับจดทะเบียน: บริษัทจำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด, ใบทะเบียนพาณิชย์, มูลนิธิ, สมาคม, จดภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • , ขึ้นทะเบียนประกันสังคม ฯลฯ
  • จดแก้ไขเปลี่ยนแปลง: จดแจ้งย้ายที่ตั้งบริษัท จดเพิ่มสาขา จดเปลี่ยนตราสำคัญ จดเปลี่ยนชื่อ จดกรรมการ 
  • เข้า-ออก จดเพิ่มทุนจดทะเบียน จดแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ ฯลฯ
  • จดทะเบียนเกี่ยวกับสินค้า: จดเครื่องหมายการค้า จดสิทธิบัตร จดลิขสิทธิ์
บริการงานด้านบัญชีและภาษี
  • งานวางระบบ: ระบบบัญชี ระบบสต๊อกสินค้า บัญชีต้นทุนการผลิต วางแผนชำระภาษีให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย
  • กำหนด
  • งานจัดทำบัญชี: รับทำบัญชีรายเดือน บัญชีเงินเดือน ปิดงบการเงิน จัดทำงบเพื่อส่งผู้บริหาร โดยผู้ทำบัญชี
  •  (CPD)
  • งานตรวจสอบ: รับตรวจสอบภายใน ตรวจงบการเงิน โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)
บริการงานด้านขอใบอนุญาต ร่างสัญญาแปลและรับรองเอกสาร
บริการงานด้าน จัดอบรมสัมนาเชิงวิชาการ
สินค้าและบริการด้านอื่นๆ

ความรู้ทั่วไปแนวคิด


แนวคิดธุรกิจ SME1. เดินให้เร็วกว่าคู่แข่ง 1 ก้าว แม้ว่าแนวคิดนี้จะแนะนำให้เดินนำหน้าคู่แข่ง 1 ก้าว แต่ว่าการเดินนำล้ำหน้าคนอื่นหลาย ๆ ก้าวก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจะต้องตั้งปณิธานและกำหนดนโยบายด้านต่าง ๆ เพื่อปลูกฝังให้พนักงานทุกคนในองค์กรมีแนวคิดในการทำงานที่ล้ำหน้าคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีหน้าที่ใดในองค์กรจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์และความตั้งใจในการทำงานเพื่อให้มีผลงานใหม่ ๆ ให้คู่แข่งตาค้างเสมอ โดยเฉพาะความล้ำหน้าในสิ่งที่มองเห็นและจับต้องได้ จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าองค์กรของคุณเป็นผู้นำในธุรกิจนั้น ๆ หรือไม่หากธุรกิจใดก็ตามไม่ได้มีเป้าหมาย ในเรื่องนี้ที่ชัดเจน ก็ต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมเป็นผู้ตามคนอื่นเสมอ ลองคิดดูว่าการเป็นผู้ตามในตลาดใดตลาดหนึ่ง ย่อมทำให้เกิดความสูญเสียเชิงการตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญมีข้อแนะนำว่าการเป็นผู้นำเพื่อให้คนอื่นวิ่งตามนั้น คุณจะ ต้องวิ่งหนีคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจาก สิ่งที่ทำ ๆ กันก็จะมีคู่แข่งทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่ใครก็ตามเติบโตจนกลายเป็นผู้นำก็จะกลายเป็นคนที่ขี่หลังเสือที่ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา มิให้ ตกจากหลังเสือ 2.สร้างจุดเด่นให้เห็นความแตกต่าง ข้อนี้ก็สืบเนื่องจากการเป็นผู้นำในข้างต้น เพราะถ้าต้องยืนอยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาด สิ่งสำคัญจะต้องสร้างจุดเด่นด้านต่าง ๆ เพื่อให้แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ในตลาด โดยทั่วไปแล้วผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ความเป็นผู้นำจะต้องมีความแตกต่างในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น การให้บริการ การพัฒนาบุคลากร ภาพลักษณ์ขององค์กร ฯลฯอย่างไรก็ตาม เห็นว่าการสร้างความแตกต่างนั้นมีการพูดกันบ่อยมาก แต่จะทำให้ชัดเจนได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและตั้งใจของแต่ละคน ที่สำคัญไม่ควรใช้มุมมองของตนเองมองความแตกต่าง แต่ต้องให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นแตกต่างหรือเหมือนกับชาวบ้าน ซึ่งจะส่งผลต่อความ ล้มเหลวและความสำเร็จต่อธุรกิจนั้นๆ 3.คิดและทำในสิ่งที่เป็นไปได้ มีข้อแนะนำว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จนั้นไม่ควรคิดเล็กแล้วทำใหญ่ หรือคิดใหญ่หรือทำเล็กเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ เขาทำกัน แต่ควรทำในสิ่งที่เป็นไปได้และเกิดประโยชน์ต่อลูกค้าและธุรกิจ เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำในสิ่งที่เกินกำลัง ผลที่ตามมาก็คือ ไปไม่ไหวก็ต้องพับเสื่อกลับบ้านเก่าไป รวมทั้งผู้ที่ทำในสิ่งที่อยู่ในฝัน ผลที่ตามมาก็คือ ความฝันย่อมเป็นความฝันอยู่เสมอ แต่การทำธุรกิจในยุคนี้จะต้องทำในสิ่งที่เป็นไปได้ และตรงกับความต้องการของลูกค้า เพราะสิ่งที่ลูกค้าต้องการถือว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นอย่าคิดทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำแต่เราไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาด แต่จงคิดและทำในสิ่งที่เป็นไปได้ ที่สำคัญลูกค้าต้องยอมรับได้ด้วย 4.การบริหารภาพลักษณ์ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องทำก็คือ การบริหารและจัดการเรื่องภาพลักษณ์ ของธุรกิจให้เป็นผู้ที่ยอมรับของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพราะหากเป็นผู้นำ สร้างสรรค์ให้แตกต่าง และทำในสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ลูกค้าไม่ยอมรับเพื่อสร้างปัญหาให้สังคมในด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่ส่งผลดีต่อองค์กรเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากการทำธุรกิจในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน สิ่งที่เป็นผลลบและผลบวกสามารถกระจายข่าวได้อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นภาคธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญเรื่องการบริหารภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ

ความคิดริเริ่ม ประกอบธุรกิจส่วนตัว เพื่อเตรียมจดทะเบียนบริษัท

"สำหรับใครหลายๆคนที่กำลัง มีความคิดที่จะ ประกอบธุรกิจส่วนตัว ด้วยเนื่องอาจมีเหตุผล เช่น มีเพื่อนเป็น จัดซื้อ มี คนรู้จักที่จะคอยหยิบยื่นงาน ออกมาให้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีโดยที่เราไม่ได้นับการเริ่มต้นทำธุรกิจ จาก 0 อาจจะเริ่มนับ ที่ 2,3,4,5 เลย แต่อย่าลืมว่าเราเองก็ต้องรู้จักการหา ลูกค้าได้ด้วยตัวเอง เพราะสักวัน เราอาจไม่ได้รับการสนับสนุน จาก เพื่อนหรือคนรู้จักแต่เราจะต้องยืนได้ด้วย ความสามารถของเรานะครับ การที่จะมีบริษัท การจดทะเบียนบริษัท นั้นไม่ใช้เรื่องยาก เอกสารครบ ผู้ก่อตั้งลงนามเรียบร้อย วันเดียวก็สามารถ จดทะเบียนบริษัท ได้แล้ว ไม่ยากเลย แต่การจะดูแล บริหาร ให้บริษัทเราคงอยู่ได้นั้น ต้องอาศัย ความอดทน ความสามารถ ในการแก้ปัญหา จิตใจที่เข้มแข็ง เวลาที่คุณเจออุปสรรค ต้องไม่ย่อท้อ หรือหนี้ปัญหา ไม่เช่นนั้นคุณก็จะไม่ต่างอะไร กับผู้ที่มีความคิดเป็นลูกจ้าง เราต้องแลก ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้ง เวลา ความคิด แรงกายแรงใจ ความทุ่มเท เพื่อธุรกิจเราเอง ขยันก็ได้เรา ขี้เกียจก็ได้เราไม่มีใครบังคับ สุดท้าย ผู้บริหารที่ดี คือ ผู้ที่แก้ปัญหาได้เก่ง ทุกปัญหามีทางออกเสมอ แต่ใครที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดให้ กับ กิจการของตัวเองได้ดีกว่ากัน"
ส่วนใครที่เป็นลูกจ้าง พนักงานประจำ ผมแนะนำว่าคุณควรจะมีความคิดบวก คิดดีทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ให้ดีที่สุด รีบเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รายละเอียด จากงานที่ทำให้เร็วที่สุด ทุกคนต้องการเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่กันทุก คน เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เรียกว่า การลงทุนกับตัวเอง คนเก่ง คนดี คนทุ่มเทกับงาน ย่อมเป็นที่หมาย ปองต้องการของนายจ้างเสมอ ไม่ใช้มัวแต่คิดลบ เช่น ทำไม่เจ้าของได้เยอะ เราได้แค่เนี๊ย เราจะมองเห็นแค่ด้านเดียว ผมจะบอกว่าเวลานายจ้างเสียหาย หรือขาดทุนเค้าไม่บอกคุณหรอกครับ เราจะมองเห็นว่าเค้ากำไรเยอะ เป็นไงครับ พอ รู้กำไรเยอะ ก็อยากทำเอง แล้วก็ล้มไม่เป็นท่า จะกลับมาหานาย ก็ไม่กล้าสู้หน้า เอาไว้ให้พร้อมนะครับ แล้วมาติดต่อ จาก บริษัท ชลธี บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนบริษัทให้ ผมยินดีให้คำปรึกษา ทุกอย่างที่คุณควรจะทราบ
บริษัท ชลธี บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ให้บริการรับจดทะเบียนบริษัท ทั่วประเทศ อาธิ เช่น รับจดทะเบียนบริษัท สมุทรปราการ รับจดทะเบียนบริษัทสมุทรสาคร รับจดทะเบียนบริษัทสมุทรสงคราม รับจดทะเบียนบริษัทปทุมธานี รับ จดทะเบียนบริษัทนนทบุรี รับจดทะเบียนบริษัทนครปฐม รับจดทะเบียนบริษัทอยุธยา รับจดทะเบียนบริษัทชลบุรี รับ จดทะเบียนบริษัทระยอง รับจดทะเบียนบริษัทสระบุรี รับจดทะเบียนบริษัทนครนายก รับจดทะเบียนบริษัทปราจีนบุรี รับจดทะเบียนบริษัท ฉะเชิงเทรา รับจดทะเบียนบริษัทราชบุรี

ความรู้ทั่วไปการจัดตั้งบริษัทใน 7 ขั้นตอน




ผู้ประกอบการมือใหม่หลายๆคน มักคิดว่าการดำเนินการจัดตั้งบริษัทด้วยตนเองนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยากเกินความสามารถ จึงเลือกที่จะไปว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลที่มีความรู้เฉพาะทางมาดำเนินการแทน ทั้งที่จริงๆแล้วขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทนั้นก็ไม่ได้มีวิธีที่ซับซ้อนแต่อย่างใด และถ้าหากท่านสามารถดำเนินการเองได้ก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการว่าจ้างไปได้อีกด้วย การจัดตั้งบริษัทจะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไปหากปฏิบัติตาม 7 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

หลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ผู้เริ่มก่อการสามารถจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทพร้อมกันภายในวันเดียวกันได้
ขั้นแรกผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทต้องคิดชื่อบริษัทขึ้นมาเพื่อใช้ในการจอง ซึ่งชื่อที่ตั้งมานั้นต้องไม่พ้องหรือคล้ายคลึงกับบริษัทซึ่งจดทะเบียนไปแล้ว
การจองนั้นจะเปิดให้จองได้ 3 ชื่อ โดยนายทะเบียนจะพิจารณาชื่อตามลำดับจากแรกไปท้าย ดังนั้นท่านต้องเอาชื่อที่อยากได้ที่สุดไว้อันดับแรก จากนั้นก็ไปลงทะเบียนจองชื่อ โดยทำได้สองวิธีด้วยกัน คือ
  1. ยื่นแบบจองชื่อต่อนายทะเบียนด้วยตนเอง ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในเขตที่ท่านอาศัยอยู่ หรือถ้าเป็นต่างจังหวัดก็ให้ไปที่สำนักงานพาณิชย์ประจำจังหวัด
  2. จองผ่านอินเตอร์เน็ต โดยกรอกข้อมูลที่ www.dbd.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเอง
เมื่อนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่าชื่อดังกล่าวไม่ขัดกับข้อกำหนด ก็จะแจ้งกลับมาว่ารับจองชื่อแล้ว จากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

หนังสือบริคณห์สนธิ คือ หนังสือที่แสดงเจตน์จำนงในการขอจัดตั้งบริษัท เนื้อความในหนังสือจะประกอบไปด้วย ชื่อบริษัทที่จองไว้ (โดยมีคำว่า “บริษัท” นำหน้า และคำว่า “จำกัด” ต่อท้าย) ที่อยู่ วัตถุประสงค์ จำนวนทุน จำนวนหุ้น ราคาหุ้น (ขั้นต่ำหุ้นละ 5 บาท) และข้อมูลผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท ซึ่งจำนวนผู้ก่อการนี้กฎหมายบังคับว่าต้องมีอย่างน้อย 3 คน
การยื่นหนังสือบริคณห์สนธิจะต้องทำภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีนายทะเบียนแจ้งรับจองชื่อ หากผู้เริ่มก่อการเกิดชะล่าใจจนเลยกำหนดก็จะต้องเสียเวลาดำเนินการใหม่ตั้งแต่ต้น

ผู้เริ่มก่อการแต่ละคนอาจซื้อหุ้นมากน้อยต่างกัน แต่ทุกคนจะต้องมีอย่างน้อยคนละหนึ่งหุ้น นอกจากนี้ผู้ที่มาซื้อหุ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เริ่มก่อการเสมอไป แต่อาจเป็นบุคคลอื่นที่สนใจอยากเข้าร่วมธุรกิจดังกล่าวก็ได้ 
เมื่อมีผู้ตกลงซื้อหุ้นของบริษัทจนครบแล้ว ก็จะมีการออกหนังสือนัดจัดการประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งวันที่นัดประชุมนั้นจะต้องห่างจากวันที่ออกหนังสืออย่างน้อย 7 วัน

หากดำเนินการด้วยตนเองก็จะยิ่งใช้เวลาน้อยลงไปอีกเพราะไม่ต้องเสียเวลาติดต่อประสานงานกับบริษัทว่าจ้างจัดตั้งบริษัท
ในการประชุมจะต้องมีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าชื่อทั้งหมด (สามารถมอบฉันทะได้) และนับจำนวนหุ้นรวมกันแล้วไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของหุ้นทั้งหมด ซึ่งวาระในการประชุมจะประกอบด้วย
  1. ทำความตกลงตั้งข้อบังคับของบริษัท
  2. เลือกตั้งกรรมการและกำหนดอำนาจกรรมการ
  3. เลือกผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเพื่อตรวจสอบและรับรองงบการเงิน (บริษัทต้องแต่งตั้งบุคคลธรรมดาเท่านั้น จะแต่งตั้งสำนักงานตรวจสอบบัญชีไม่ได้)
  4. รับรองสัญญาที่ผู้เริมก่อการทำขึ้นก่อนที่บริษัทจะจัดตั้ง เพราะผู้ริเริ่มกิจการอาจจะไปทำสัญญาอะไรบางอย่างไว้เพื่อประโยชน์ของบริษัท เช่น ไปทำสัญญาเช่าอาคารไว้เพื่อไว้เป็นที่ทำการของบริษัท หรือไปทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ หรือจ้างพนักงานไว้ สัญญาเหล่านี้จะยังไม่มีผลผูกพันบริษัท เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้จัดตั้ง ผู้ริเริ่มกิจการยังต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวอยู่ ดังนั้นจึงต้องนำสัญญาเหล่านี้มาเสนอให้ที่ประชุมตั้งบริษัทอนุมัติ เพื่อจะได้มีผลผูกพันต่อไป
  5. กำหนดค่าตอบแทนแก่ผู้ริเริ่มกิจการ สำหรับกิจการต่างๆ ที่ผู้เริ่มก่อการได้กระทำไปในช่วงก่อนจดทะเบียนบริษัท โดยถือว่าเป็นค่าตอบแทนค่าเหนื่อยของผู้เริ่มก่อการ ซึ่งค่าตอบแทนนี้จะต้องอนุมัติโดยที่ประชุมจัดตั้งบริษัท
  6. กำหนดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ (หุ้นที่ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าหุ้นสามัญ เช่น ได้ปันผลมากกว่า หรือหากเลิกกิจการก็จะมีสิทธิได้ทรัพย์สินก่อน แต่ผู้ถือหุ้นประเภทนี้จะไม่มีสิทธิในการออกเสียงหรือรับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริษัท) หรือหุ้นสามัญที่ชำระด้วยอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน บางบริษัทอาจจะมีหุ้นบุริมสิทธินอกเหนือจากหุ้นสามัญ หรืออาจจะมีหุ้นสามัญแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีบางส่วนที่ชำระด้วยอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน ในกรณีเช่นนี้ก็ต้องมาทำความตกลงอนุมัติในที่ประชุมตั้งบริษัทนี้เช่นกัน


คณะกรรมการจะทำหน้าที่เก็บเงินชำระค่าหุ้นอย่างน้อย 25% ของราคาจริง เมื่อเก็บค่าหุ้นได้ครบแล้ว กรรมการก็จะเป็นผู้จัดทำคำขอจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้วยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่มีการประชุมจัดตั้งบริษัท ถ้าไม่จดทะเบียนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจะทำให้การประชุมตั้งบริษัทเสียไป ต้องจัดประชุมผู้จองซื้อหุ้นใหม่อีกครั้ง

ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนตั้งบริษัท คิดตามทุนจดทะเบียนแสนละ 500 บาท ขั้นต่ำ 5,000 แต่ไม่เกิน 250,000
ค่าธรรมเนียมต่างๆในขั้นตอนการดำเนินการมีดังนี้
  1. ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ คิดจากจำนวนทุนแสนละ 50 บาท เศษของแสนให้คิดเป็นแสนบาทเลย ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอยู่ที่ 500 บาท และขั้นสูงคือ 25,000 บาท
  2. ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนตั้งบริษัท คิดตามทุนจดทะเบียนแสนละ 500 บาท แต่ขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่า 5,000 บาท และขั้นสูงไม่เกิน 250,000 บาท (เศษของแสนคิดเป็นแสนเช่นเดียวกับค่าลงทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ)
  3. หนังสือรับรอง ฉบับละ 200 บาท
  4. ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน ฉบับละ 100 บาท
  5. รับรองสำเนาเอกสาร หน้าละ 50 บาท
  6. รับใบสำคัญและหนังสือรับรอง
เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนและมอบหนังสือรับรองแล้ว ก็เป็นอันว่าบริษัทได้จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ต่างๆ โดยสมบูรณ์ทุกประการ
เดิมขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมดจะกินเวลาไม่ต่ำกว่า 9 วัน แต่หลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ปรับปรุงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัทในบางประเด็น ว่า ‘หากการประชุมตั้งบริษัทมีผู้เริ่มก่อการและผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทุกคนเข้าร่วมประชุมและให้ความเห็นชอบในกิจการที่ได้พิจารณาในที่ประชุมนั้น ผู้เริ่มก่อการสามารถจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทพร้อมกันภายในวันเดียวกันได้’
จากการปรับปรุงกฎหมายที่ว่า ทำให้การดำเนินการมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น และถ้าหากดำเนินการด้วยตนเองก็จะยิ่งใช้เวลาน้อยลงไปอีกเพราะไม่ต้องเสียเวลาติดต่อประสานงานกับบริษัทว่าจ้างจัดตั้งบริษัท อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อย่าลืมลองนำ 7 ขั้นตอนนี้ไปใช้เพื่อช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัทของคุณดู

กิจการร่วมค้า VS กิจการค้าร่วม



  กิจการค้าร่วม (Consortium) คือการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะของการร่วมกันขององค์กรธุรกิจตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป เพื่อดำเนินกิจการหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์ คือการเข้าร่วมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามแผนธุรกิจ แต่ละฝ่ายจะใช้ความสามารถและความชำนาญในการทำงานในส่วนที่ตนรับผิดชอบให้สำเร็จตามโครงการและมีการแบ่งแยกการทำงานไว้อย่างชัดเจน โดยต่างฝ่ายต่างออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินเฉพาะบริษัทของตน
           สัญญากิจการค้าร่วมเป็นเพียงการลงนามร่วมกันในการทำสัญญากับเจ้าของโครงการเท่านั้น เพราะแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบเฉพาะในส่วนของตน ไม่มีการร่วมทุนหรือแบ่งผลกำไรหรือขาดทุนระหว่างกัน เมื่องานเสร็จสิ้นแล้วก็จะยุติลงเหมืนอกับกิจการร่วมค้า กิจการร่วมค้าไม่มีชื่อเรียกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายรัษฎากร จึงไม่ต้องขอบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร แต่มีการเสียภาษีจากกำไรของแต่ละบริษัทนั่นเอง
            Consortium จะมีลักษณะแตกต่างจาก Joint Venture กล่าวคือ สมาชิกของ Consortium นั้นจะมีการแบ่งแยกงานและเงินที่สมาชิกแต่ละคนจะได้รับจากเจ้าของโครงการ จะมีการร่วมกันก็เพียงแต่มาลงนามในสัญญาฉบับเดียวกันที่ทำกับเจ้าของโครงการเท่านั้นเอง โดย Consortium นั้นไม่ได้เป็นหน่วยภาษีแยกต่างหากจากผู้เป็นสมาชิกของ Consortium 
            จึงกล่าวได้ว่า Consortium นั้นสมาชิกแต่ละคนจะได้รับเงินในส่วนของงานที่ตนทำ จะกำไรหรือขาดทุนก็เป็นเรื่องของตน ไม่มีการไปรวมกับกำไรหรือขาดทุนของสมาชิก Consortium รายอื่นและสมาชิก Consortium แต่ละรายก็จะเสียภาษีโดยยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีของตนแยกแต่ละรายไป
            ส่วนในแง่ความรับผิดนั้น สมาชิกของกิจการร่วมค้าจะรับผิดร่วมกันต่อเจ้าของโครงการ แต่ Consortium นั้น โดยปกติต่างคนต่างรับผิดชอบเฉพาะส่วนที่เป็นงานของตน แต่หากเจ้าของโครงการต้องการให้สมาชิกของ Consortium รับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดก็ตกลงกันได้
            คำว่า Consortium นั้นไม่มีการบัญญัติไว้ทั้งในประมาวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องขอบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี และทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากไม่ใช่หน่วยภาษีที่แยกต่างหากจากสมาชิก Consortium 

ที่มา: บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด